เมนู

ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ 3


เรื่องพระทัพพมัลลบุตร


[368] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์
ครั้งนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตรจัดแจงเสนาสนะและแจกภัตแก่สงฆ์ สมัยนั้น
พระเมตติยและพระภุมมชกะเป็นผู้บวชใหม่ และมีบุญน้อย เสนาสนะของสงฆ์
ที่เลวและอาหารที่ทรามย่อมตกมาถึงเธอทั้งสอง เธอทั้งสองจึงให้ภิกษุทั้งหลาย
เพ่งโทษท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า จัดเสนาสนะตามความพอใจ และแจกภัต
ตามความพอใจ บรรดาภิกษุผู้มักน้อย . . ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉน พระเมตติยะและพระภุมมชกะจึงได้ให้ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาท่านพระ-
ทัพพมัลลบุตรเล่า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า . . . ทรงสอบถามพระเมตติยะและพระ
ภุมมชกะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอให้ภิกษุทั้งหลายโพนทะนา
ภิกษุทัพพามัลลบุตร จริงหรือ.
พระเมติยะและพระภุมมชกะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงให้ภิกษุทั้งหลายเพ่งโทษภิกษุทัพพมัลลบุตร การกระทำของเธอนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลือมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้

พระบัญญัติ


62. 3. ก. เป็นปาจิตตีย์ในเพราะความเป็นผู้ให้โพนทะนา.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้ .
เรื่องพระทัพพมัลลบุตร จบ

เรื่องพระทัพพมัลลบุตร (ต่อ)


[269] ก็สมัยนั้น พระเมตติยะและพระภุมมชกะคิดว่า ภิกษุทั้งหลาย
จักเชื่อฟังด้วยพระบัญญัติเพียงเท่านี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามการให้
โพนทะนาแล้ว จึงบ่นว่าท่านพระทัพพมัลลบุตรอยู่ใกล้ ๆ ภิกษุทั้งหลายว่า
พระทัพพมัลลบุตรจัดเสนาสนะตามความพอใจ และแจกภัตตามความพอใจ
บรรดาภิกษุผู้มักน้อย . . .ต่างก็เพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระเมตติยะ
และพระภุมมชกะจึงได้บ่นว่า ท่านพระทัพพมัลลบุตรอยู่เล่า แล้วกราบทูล
เนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

ทรงสอบถาม


ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า . . .ทรงสอบถามพระเมทติยะและพระ-
ภุมมชกะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอบ่นว่าภิกษุทัพพมัลลบุตร
จริงหรือ.
พระเมตติยะและพระภุมมชกะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.